วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

6.สมมติฐาน (Hypothesis)



                  http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/hypothysis1.htm   ได้กล่าวไว้ว่าสมมติฐาน หมายถึง ข้อสมมติฐานที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผลในการทดลองหรือการวิจัย เป็นข้อความที่แสดงถึงการคาดการถึงผลการวิจัยที่จะได้รับและสามารถทดสอบได้ นอกจากนี้อาจหมายถึงการคาดการณ์หรือการอธิบาย ปรากฏการณ์ระหว่างตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปรขึ้นไป ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร
ประโยชน์ของสมมติฐาน
                  1. ช่วยชี้แนะให้ผู้วิจัยพิจารณาชนิดของตัวแปรที่สำคัญ ข้อมูลที่จะเก็บ ชนิดของเครื่องมือที่เหมาะสม และวิธีการเก็บข้อมูล
                  2. ช่วยเป็นกรอบของการดำเนินการวิจัยให้เฉพาะเจาะจงมากกว่าวัตถุประสงค์ ในแง่ของการพิจารณารูปแบบการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
                  3. สามารถสร้างทฤษฎีใหม่ขึ้นได้ รวมทั้งเป็นการทดสอบทฤษฎีเก่าด้วย
ชนิดของสมมติฐาน
สมมติฐานแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
                  1. สมมติฐานทางวิจัย เป็นข้อความที่เขียนคาดการณ์ อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หรือแสดงความ สัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป
                  2. สมมติฐานทางสถิติ เป็นข้อความสั้นๆ ที่เขียนโดยใช้สัญลักษณ์ทางสถิติแทนข้อความที่เขียนเต็มในสมมติฐานทางวิจัย
สมมติฐานทางวิจัย
รูปแบบของสมมติฐานทางวิจัย
                  1 สมมติฐานเชิงพรรณนา (Descriptive Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ตั้งขึ้นสำหรับงานวิจัยที่ต้องการหาข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือเหตุการณ์บางอย่างโดยไม่มีการพิสูจน์ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใดๆ
                  2 สมมติฐานเชิงวิเคราะห์ (Analysis Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่แสดงความสัมพันธ์หรือ เปรียบเทียบระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป สมมติฐานชนิดนี้จะมีการนำเอาวิธีการทางสถิติมาทดสอบด้วยเสมอ แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
                       2.1 แบบเปรียบเทียบ เป็นสมมติฐานที่แสดงการเปรียบเทียบตัวแปรในลักษณะของคำว่า แตกต่าง ไม่แตกต่าง ดีกว่า น้อยกว่า รุนแรงกว่า เร็วกว่า สูงกว่า ต่ำกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า เป็นต้น และสมมติฐานนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
แบบเปรียบเทียบไม่ระบุทิศทาง เช่น
- อัตราการตายของทารกเพศชาย แตกต่างจากอัตราการตายของทารกเพศหญิง
- อัตราป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในเขตที่มีโครงการจัดหาน้ำสะอาด และเขตที่ไม่มีโครงการจัดหาน้ำสะอาด มีความแตกต่างกัน
แบบเปรียบเทียบระบุทิศทาง เช่น
- หญิงตั้งครรภ์ในเขตเมืองมีความรู้ในการป้องกันภาวะโลหิตจางสูงกว่าเขตนอกเมือง
- กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ที่เลี้ยงด้วยนมมารดา จะป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันต่ำกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยนมมารดา
                      2.2 แบบแสดงความสัมพันธ์ เป็นสมมติฐานที่แสดงลักษณะความสัมพันธ์ ระหว่าง
ตัวแปร และอาจจะระบุลึกลงไปในแง่ของความเป็นเหตุ เป็นผล ก็ได้ สมมติฐานชนิดนี้สามารถแยกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้
แบบแสดงความสัมพันธ์ไม่ระบุทิศทาง เช่น
                     - แบบแผนการให้อาหารทารกมีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการของทารก
                     - การขาดความอบอุ่นจากบิดามารดา มีความสัมพันธ์กับการติดยาเสพติดครั้งแรก
แบบแสดงความสัมพันธ์ระบุทิศทาง
                     - น้ำหนักแรกเกิดของทารกมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับภาวะโภชนาการของมารดา
                     - อัตราการใช้วิธีการคุมกำเนิดสูง ทำให้ภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำ
สมมติฐานทางสถิติ
สมมติฐานทางสถิติเป็นสมมติฐานที่เขียนขึ้น เพื่อใช้ทดสอบทางสถิติ เขียนโดยใช้สัญลักษณ์ทางสถิติประกอบด้วย
                 1. สมมติฐานศูนย์ (null hypothesis : Ho) คือสมมติฐานทางสถิติที่กำหนดให้ไม่มีความแตกต่าง หรือไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา เช่น
สมมติฐานการวิจัยผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อยมีคะแนนความเครียด ไม่แตกต่าง กับ
ผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สมมติฐานสถิติ กำหนดให้ Ho คือ สมมติฐานศูนย์
กำหนดให้ U1 คือ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อย
กำหนดให้ U2 คือ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สามารถเขียนสมมติฐานทางสถิติได้ดังนี้ Ho : U1 = U2
                 2. สมมติฐานเลือก (alternative hypothesis : H1 หรือ Ha) คือสมมติฐานทางสถิติที่มีความแตกต่างหรือมีความสัมพันธ์กันระหว่างตัวแปรที่ศึกษา โดยทั่วไปเราจะตั้งสมมติฐานศูนย์ไว้ทดสอบทางสถิติ โดยคาดหวังว่าเมื่อทดสอบสมมติฐานแล้ว ผลที่ได้จะปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ และยอมรับสมมติฐานเลือก ซึ่งเป็นการสนับสนุนสมมติฐานทางการวิจัย เช่น
สมมติฐานการวิจัยผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อยมีคะแนนความเครียดไม่แตกต่างกับ ผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สมมติฐานสถิติ กำหนดให้ H1 คือ สมมติฐานเลือก
กำหนดให้ U1 คือ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อย
กำหนดให้ U2 คือ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สามารถเขียนสมมติฐานทางสถิติได้ดังนี้ H1 : U1 < U2
หลักการเขียนสมติฐานการวิจัย
        1. ควรประกอบไปด้วยตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว เช่น ให้ X เป็นตัวแปรอิสระ และให้ Y เป็นตัวแปรตาม
        2. ควรระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรซึ่งกันและกันไว้อย่างชัดเจน เช่น X มีความสัมพันธ์กับ Y และระบุทิศทางของความสัมพันธ์ถ้าสามารถระบุได้
        3. สามารถทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้ด้วยวิธีการทางสถิติ
        4. ภาษาที่ต้องใช้ต้องเฉพาะเจาะจง เข้าใจง่าย อ่านแล้วมีความหมายชัดเจน
ข้อเสนอแนะในการเขียนสมมติฐาน
        1. ควรเขียนสมมติฐาน หลังจากทบทวนวรรณคดีที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดแล้ว การทดสอบสมมติฐานโดยไม่ทบทวนวรรณคดีให้เพียงพอจะทำให้การตั้งสมมติฐานผิดพลาด
        2. สมมติฐานต้องเขียนเป็นประโยคบอกเล่าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น และตัวแปรตาม พร้อมทั้งระบุทิศทางของความสัมพันธ์ หรือทิศทางของความแตกต่างในลักษณะเปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจน ยกเว้นการวิจัยบางเรื่องที่ไม่สามารถระบุทิศทางความสัมพันธ์หรือทิศทางความแตกต่างได้
        3. ประโยคของสมมติฐานแต่ละข้อควรเป็นประโยคสั้นๆ ใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่กำกวน ส่วน คำศัพท์เกี่ยวกับตัวแปรต้องระบุความหมายให้ชัดเจน
        4. สมมติฐานต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและอยู่ในกรอบของปัญหาการวิจัยเท่านั้น อย่าตั้งสมมติฐานที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือออกนอกกรอบปัญหาการวิจัย
        5. ในปัญหาการวิจัยเรื่องหนึ่ง อาจเขียนสมมติฐานได้หลายข้อ แต่ละข้อให้เขียนประเด็นใดประเด็นหนึ่งของปัญหาวิจัยเท่านั้น ไม่ควรเขียนปัญหาการวิจัยในหลายประเด็นเข้าไว้ในสมมติฐานข้อเดียวกัน
        6. สมมติฐานที่ตั้งขึ้น ควรเรียงลำดับข้อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในการทำวิจัย
        สมมติฐานที่ตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป อาจจะผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของข้อมูล
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การตั้งสมมติฐาน ต้องยึดเหตุผลทางตรรกะวิทยาให้มากที่สุด และสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ถ้าสามารถระบุทิศทางในแง่ของการเปรียบเทียบหรือแสดงความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว จะช่วยชี้แนวทางการเลือกสถิติทดสอบแบบ ทางเดียว หรือแบบสองทางได้ด้วย นอกจากนี้การวิจัยบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องตั้ง สมมติฐานก็ได้เช่น การวิจัยเชิงสำรวจ หรือการวิจัยเชิงพรรณนา

        http://www.stks.or.th/blog/?p=2385      ได้กล่าวไว้ว่าคำว่าสมมติฐานที่นำมาใช้ในการวิจัยนั้น หมายถึง ความคาดหวังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้จากการสรุปเป็นการทั่วไป ที่หวังว่าตัวแปร 2 ตัวหรือหลายตัวจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง
      สมมติฐานที่ดีจะต้องประกอบด้วยเกณฑ์สองอย่าง คือ
          ประการแรก สมมติฐานต้องเป็นข้อความแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
          ประการที่สอง สมมติฐานจะต้องชัดเจน และสามารถทดสอบความสัมพันธ์ดังกล่าวได้ หากข้อความขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็จะไม่ใช่สมมติฐาน
          สมมติฐานจัดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากอย่างหนึ่งในการวิจัยเพราะเป็นแหล่งเชื่อมโยงระหว่างปัญหากับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่จะตอบปัญหา สมมติฐานยังเป็นเสมือนแนวทางในการสำรวจปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหาที่กำลังทำการสืบค้นอยู่นั้น ความสำคัญของสมมติฐานพอจะประมวลได้เป็นข้อๆ ดังนี้
           2.1 การชี้ให้เห็นปัญหาชัดเจน ถ้าไม่มีสมมติฐานเป็นเครื่องชี้นำ ผู้วิจัยอาจเสียเวลาในการหาสาเหตุและการแก้ปัญหาโดยเป็นการกระทำที่ผิวเผิน แต่การตั้งสมมติฐานนั้น ผู้วิจัยจะต้องได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนถึงข้อเท็จจริงและมโนทัศน์ที่คาดว่าจะสัมพันธ์กับปัญหา แล้วแยกแยะให้เห็นข้อสนเทศที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องในเชิงความสัมพันธ์ ทั้งนี้ในกระบวนการสร้างสมมติฐาน การนิรนัยผลที่ตามมา และการนิยามคำที่ใช้นั้นจะช่วยทำให้เห็นประเด็นของปัญหาที่ทำการวิจัยชัดเจนขึ้น
           2.2 สมมติฐานช่วยกำหนดความเกี่ยวข้องระหว่างข้อเท็จจริง ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ได้รับการเลือกเฟ้นอย่างรอบคอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสืบค้นความจริง การรวบรวมข้อมูลจำนวนมากโดยปราศจากจุดหมายนั้น เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์เพราะข้อมูลเหล่านั้น ที่มิได้เลือกเฟ้นจะให้เหตุผลที่เป็นไปได้หลายหลากแตกต่างกัน จนไม่สามารถจะสรุปเป็นข้อยุติที่ชัดเจนได้ ข้อเท็จจริงที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหานั้นจะไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้ามีสมมติฐานแล้ว จะทำให้ผู้วิจัยแน่ใจว่าควรรวบรวมข้อเท็จจริงอะไรมากน้อยแค่ไหนจึงจะเพียงพอที่จะทดสอบผลที่ตามมาได้ครบถ้วน สมมติฐานจึงช่วยในการกำหนดและรวบรวมสิ่งที่ต้องการเพื่อแก้ปัญหาวิจัยนั้น
          2.3 สมมติฐานเป็นตัวชี้การออกแบบการวิจัย สมมติฐานไม่ใช่เพียงแต่ชี้แนวทางว่าควรพิจารณาข้อสนเทศใดแต่จะช่วยบอกวิธีที่จะรวบรวมข้อมูลด้วย สมมติฐานที่สร้างอย่างดีจะเสนอแนะว่ารูปแบบการวิจัยควรจะเป็นเช่นไรจึงจะเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะที่ต้องการทราบ สมมติฐานจะบอกแนวทางถึงกลุ่มตัวอย่างแบบสอบหรือเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ จะมีวิธีการอย่างไร วิธีการสถิติที่เหมาะสมคืออะไรตลอดจนจะรวบรวมข้อเท็จจริงในสถานการณ์ใดที่เหมาะสมกับปัญหา
          2.4 สมมติฐานช่วยอธิบายปรากฏการณ์ การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่เป็นเพียงการรวบรวมข้อเท็จจริงและจัดพวกตามคุณสมบัติผิวเผินของข้อเท็จจริงเหล่านั้น เช่นไม่ใช่เพียงแต่จัดตารางบอกลักษณะของพฤติกรรมก้าวร้าว หรือเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยุวอาชญากรรมเท่านั้น แต่นักวิจัยจะต้องกำหนดว่าองค์ประกอบใดก่อให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น โดยอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์ที่น่าจะเป็นสาเหตุและผลอย่างเหมาะสม สมมติฐานที่สร้างขึ้นจากข้อเท็จจริงจะช่วยให้ผู้วิจัยมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสำรวจและอธิบายสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังได้
          2.5 สมมติฐานช่วยกำหนดขอบเขตของข้อยุติ ถ้าหากผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานในเชิงนิรนัยไว้ ก็เท่ากับได้วางขอบเขตในข้อยุติไว้แล้ว ผู้วิจัยอาจระบุเหตุผลว่าถ้า H1 จริงแล้วข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นจากการทดสอบกับข้อมูลจริง ข้อเท็จจริงนั้นเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ดังนั้นข้อยุติก็จะเป็นว่า ได้รับการยืนยันหรือไม่ได้รับการยืนยัน สมมติฐานจึงให้ขอบเขตในการตีความข้อค้นพบอย่างเฉียบขาดและมีความหมายกระชับ ถ้าไม่มีสมมติฐานที่เป็นการทำนายล่วงหน้าข้อเท็จจริงก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รับการยืนยันหรือไม่ได้รับการยืนยันแต่อย่างใด

         http://blog.eduzones.com/jipatar/85921  ได้กล่าวไว้ว่า การตั้งสมมติฐาน เป็นการคาดคะเนหรือการทายคำตอบอย่างมีเหตุผล มักเขียนในลักษณะ การแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น(independent variables) และตัวแปรตาม (dependent variable) เช่น การติดเฮโรอีนชนิดฉีด เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเอดส์ สมมติฐานทำหน้าที่เสมือนเป็นทิศทาง และแนวทาง ในการวิจัย จะช่วยเสนอแนะ แนวทางในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป สมมติฐานต้องตอบวัตถูประสงค์ของการวิจัยได้ครบถ้วนและทดสอบและวัดได้

          กล่าวโดยสรุป      สมมติฐานที่ตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป อาจจะผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของข้อมูลประเด็นสำคัญอยู่ที่การตั้งสมมติฐาน ต้องยึดเหตุผลทางตรรกะวิทยาให้มากที่สุด และสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ถ้าสามารถระบุทิศทางในแง่ของการเปรียบเทียบหรือแสดงความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว จะช่วยชี้แนวทางการเลือกสถิติทดสอบแบบ ทางเดียว หรือแบบสองทางได้ด้วย นอกจากนี้การวิจัยบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องตั้ง สมมติฐานก็ได้เช่น การวิจัยเชิงสำรวจ หรือการวิจัยเชิงพรรณนา



เอกสารอ้างอิง

http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/hypothysis1.htm . เข้าถึงเมื่อ 9/01/13

http://www.stks.or.th/blog/?p=2385      . เข้าถึงเมื่อ 9/01/13

http://blog.eduzones.com/jipatar/85921     . เข้าถึงเมื่อ 9/01/13

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น