http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/hypothysis1.htm
ได้กล่าวไว้ว่าสมมติฐาน หมายถึง
ข้อสมมติฐานที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผลในการทดลองหรือการวิจัย
เป็นข้อความที่แสดงถึงการคาดการถึงผลการวิจัยที่จะได้รับและสามารถทดสอบได้
นอกจากนี้อาจหมายถึงการคาดการณ์หรือการอธิบาย ปรากฏการณ์ระหว่างตัวแปรมากกว่า 2
ตัวแปรขึ้นไป ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร
ประโยชน์ของสมมติฐาน
1. ช่วยชี้แนะให้ผู้วิจัยพิจารณาชนิดของตัวแปรที่สำคัญ
ข้อมูลที่จะเก็บ ชนิดของเครื่องมือที่เหมาะสม และวิธีการเก็บข้อมูล
2.
ช่วยเป็นกรอบของการดำเนินการวิจัยให้เฉพาะเจาะจงมากกว่าวัตถุประสงค์
ในแง่ของการพิจารณารูปแบบการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
3. สามารถสร้างทฤษฎีใหม่ขึ้นได้
รวมทั้งเป็นการทดสอบทฤษฎีเก่าด้วย
ชนิดของสมมติฐาน
สมมติฐานแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
1. สมมติฐานทางวิจัย
เป็นข้อความที่เขียนคาดการณ์ อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
หรือแสดงความ สัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป
2. สมมติฐานทางสถิติ เป็นข้อความสั้นๆ
ที่เขียนโดยใช้สัญลักษณ์ทางสถิติแทนข้อความที่เขียนเต็มในสมมติฐานทางวิจัย
สมมติฐานทางวิจัย
รูปแบบของสมมติฐานทางวิจัย
1 สมมติฐานเชิงพรรณนา (Descriptive
Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่ตั้งขึ้นสำหรับงานวิจัยที่ต้องการหาข้อมูล
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือเหตุการณ์บางอย่างโดยไม่มีการพิสูจน์ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใดๆ
2 สมมติฐานเชิงวิเคราะห์ (Analysis
Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่แสดงความสัมพันธ์หรือ
เปรียบเทียบระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป สมมติฐานชนิดนี้จะมีการนำเอาวิธีการทางสถิติมาทดสอบด้วยเสมอ
แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
2.1 แบบเปรียบเทียบ
เป็นสมมติฐานที่แสดงการเปรียบเทียบตัวแปรในลักษณะของคำว่า แตกต่าง ไม่แตกต่าง
ดีกว่า น้อยกว่า รุนแรงกว่า เร็วกว่า สูงกว่า ต่ำกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า
เป็นต้น และสมมติฐานนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
แบบเปรียบเทียบไม่ระบุทิศทาง เช่น
- อัตราการตายของทารกเพศชาย
แตกต่างจากอัตราการตายของทารกเพศหญิง
-
อัตราป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในเขตที่มีโครงการจัดหาน้ำสะอาด
และเขตที่ไม่มีโครงการจัดหาน้ำสะอาด มีความแตกต่างกัน
แบบเปรียบเทียบระบุทิศทาง เช่น
- หญิงตั้งครรภ์ในเขตเมืองมีความรู้ในการป้องกันภาวะโลหิตจางสูงกว่าเขตนอกเมือง
- กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
ที่เลี้ยงด้วยนมมารดา
จะป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันต่ำกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยนมมารดา
2.2 แบบแสดงความสัมพันธ์
เป็นสมมติฐานที่แสดงลักษณะความสัมพันธ์ ระหว่าง
ตัวแปร
และอาจจะระบุลึกลงไปในแง่ของความเป็นเหตุ เป็นผล ก็ได้
สมมติฐานชนิดนี้สามารถแยกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้
แบบแสดงความสัมพันธ์ไม่ระบุทิศทาง เช่น
-
แบบแผนการให้อาหารทารกมีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการของทารก
- การขาดความอบอุ่นจากบิดามารดา
มีความสัมพันธ์กับการติดยาเสพติดครั้งแรก
แบบแสดงความสัมพันธ์ระบุทิศทาง
-
น้ำหนักแรกเกิดของทารกมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับภาวะโภชนาการของมารดา
- อัตราการใช้วิธีการคุมกำเนิดสูง
ทำให้ภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำ
สมมติฐานทางสถิติ
สมมติฐานทางสถิติเป็นสมมติฐานที่เขียนขึ้น
เพื่อใช้ทดสอบทางสถิติ เขียนโดยใช้สัญลักษณ์ทางสถิติประกอบด้วย
1. สมมติฐานศูนย์ (null
hypothesis : Ho) คือสมมติฐานทางสถิติที่กำหนดให้ไม่มีความแตกต่าง
หรือไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา เช่น
สมมติฐานการวิจัยผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อยมีคะแนนความเครียด
ไม่แตกต่าง กับ
ผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สมมติฐานสถิติ กำหนดให้ Ho
คือ สมมติฐานศูนย์
กำหนดให้ U1 คือ
คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อย
กำหนดให้ U2 คือ
คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สามารถเขียนสมมติฐานทางสถิติได้ดังนี้ Ho
: U1 = U2
2. สมมติฐานเลือก (alternative
hypothesis : H1 หรือ Ha) คือสมมติฐานทางสถิติที่มีความแตกต่างหรือมีความสัมพันธ์กันระหว่างตัวแปรที่ศึกษา
โดยทั่วไปเราจะตั้งสมมติฐานศูนย์ไว้ทดสอบทางสถิติ โดยคาดหวังว่าเมื่อทดสอบสมมติฐานแล้ว
ผลที่ได้จะปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ และยอมรับสมมติฐานเลือก
ซึ่งเป็นการสนับสนุนสมมติฐานทางการวิจัย เช่น
สมมติฐานการวิจัยผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อยมีคะแนนความเครียดไม่แตกต่างกับ
ผู้ป่วยที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สมมติฐานสถิติ กำหนดให้ H1 คือ สมมติฐานเลือก
กำหนดให้ U1 คือ
คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบกลุ่มย่อย
กำหนดให้ U2 คือ
คะแนนเฉลี่ยของคะแนนความเครียดของผู้ป่วย
ที่ได้รับการสอนแบบรายบุคคล
สามารถเขียนสมมติฐานทางสถิติได้ดังนี้ H1 : U1 < U2
หลักการเขียนสมติฐานการวิจัย
1. ควรประกอบไปด้วยตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว
เช่น ให้ X เป็นตัวแปรอิสระ และให้ Y เป็นตัวแปรตาม
2.
ควรระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรซึ่งกันและกันไว้อย่างชัดเจน เช่น X
มีความสัมพันธ์กับ Y และระบุทิศทางของความสัมพันธ์ถ้าสามารถระบุได้
3. สามารถทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้ด้วยวิธีการทางสถิติ
4. ภาษาที่ต้องใช้ต้องเฉพาะเจาะจง
เข้าใจง่าย อ่านแล้วมีความหมายชัดเจน
ข้อเสนอแนะในการเขียนสมมติฐาน
1. ควรเขียนสมมติฐาน
หลังจากทบทวนวรรณคดีที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดแล้ว
การทดสอบสมมติฐานโดยไม่ทบทวนวรรณคดีให้เพียงพอจะทำให้การตั้งสมมติฐานผิดพลาด
2.
สมมติฐานต้องเขียนเป็นประโยคบอกเล่าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น
และตัวแปรตาม พร้อมทั้งระบุทิศทางของความสัมพันธ์
หรือทิศทางของความแตกต่างในลักษณะเปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจน
ยกเว้นการวิจัยบางเรื่องที่ไม่สามารถระบุทิศทางความสัมพันธ์หรือทิศทางความแตกต่างได้
3.
ประโยคของสมมติฐานแต่ละข้อควรเป็นประโยคสั้นๆ ใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่กำกวน
ส่วน คำศัพท์เกี่ยวกับตัวแปรต้องระบุความหมายให้ชัดเจน
4.
สมมติฐานต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและอยู่ในกรอบของปัญหาการวิจัยเท่านั้น
อย่าตั้งสมมติฐานที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือออกนอกกรอบปัญหาการวิจัย
5. ในปัญหาการวิจัยเรื่องหนึ่ง
อาจเขียนสมมติฐานได้หลายข้อ
แต่ละข้อให้เขียนประเด็นใดประเด็นหนึ่งของปัญหาวิจัยเท่านั้น
ไม่ควรเขียนปัญหาการวิจัยในหลายประเด็นเข้าไว้ในสมมติฐานข้อเดียวกัน
6. สมมติฐานที่ตั้งขึ้น ควรเรียงลำดับข้อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในการทำวิจัย
สมมติฐานที่ตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป อาจจะผิดก็ได้
ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของข้อมูล
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การตั้งสมมติฐาน
ต้องยึดเหตุผลทางตรรกะวิทยาให้มากที่สุด และสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ถ้าสามารถระบุทิศทางในแง่ของการเปรียบเทียบหรือแสดงความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว
จะช่วยชี้แนวทางการเลือกสถิติทดสอบแบบ ทางเดียว หรือแบบสองทางได้ด้วย
นอกจากนี้การวิจัยบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องตั้ง สมมติฐานก็ได้เช่น
การวิจัยเชิงสำรวจ หรือการวิจัยเชิงพรรณนา
http://www.stks.or.th/blog/?p=2385 ได้กล่าวไว้ว่าคำว่าสมมติฐานที่นำมาใช้ในการวิจัยนั้น
หมายถึง ความคาดหวังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้จากการสรุปเป็นการทั่วไป
ที่หวังว่าตัวแปร 2 ตัวหรือหลายตัวจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง
สมมติฐานที่ดีจะต้องประกอบด้วยเกณฑ์สองอย่าง
คือ
ประการแรก
สมมติฐานต้องเป็นข้อความแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ประการที่สอง
สมมติฐานจะต้องชัดเจน และสามารถทดสอบความสัมพันธ์ดังกล่าวได้
หากข้อความขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็จะไม่ใช่สมมติฐาน
สมมติฐานจัดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากอย่างหนึ่งในการวิจัยเพราะเป็นแหล่งเชื่อมโยงระหว่างปัญหากับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่จะตอบปัญหา
สมมติฐานยังเป็นเสมือนแนวทางในการสำรวจปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหาที่กำลังทำการสืบค้นอยู่นั้น
ความสำคัญของสมมติฐานพอจะประมวลได้เป็นข้อๆ ดังนี้
2.1
การชี้ให้เห็นปัญหาชัดเจน ถ้าไม่มีสมมติฐานเป็นเครื่องชี้นำ
ผู้วิจัยอาจเสียเวลาในการหาสาเหตุและการแก้ปัญหาโดยเป็นการกระทำที่ผิวเผิน
แต่การตั้งสมมติฐานนั้น
ผู้วิจัยจะต้องได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนถึงข้อเท็จจริงและมโนทัศน์ที่คาดว่าจะสัมพันธ์กับปัญหา
แล้วแยกแยะให้เห็นข้อสนเทศที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องในเชิงความสัมพันธ์
ทั้งนี้ในกระบวนการสร้างสมมติฐาน การนิรนัยผลที่ตามมา
และการนิยามคำที่ใช้นั้นจะช่วยทำให้เห็นประเด็นของปัญหาที่ทำการวิจัยชัดเจนขึ้น
2.2
สมมติฐานช่วยกำหนดความเกี่ยวข้องระหว่างข้อเท็จจริง ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์
ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ได้รับการเลือกเฟ้นอย่างรอบคอบ
ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสืบค้นความจริง
การรวบรวมข้อมูลจำนวนมากโดยปราศจากจุดหมายนั้น
เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์เพราะข้อมูลเหล่านั้น
ที่มิได้เลือกเฟ้นจะให้เหตุผลที่เป็นไปได้หลายหลากแตกต่างกัน
จนไม่สามารถจะสรุปเป็นข้อยุติที่ชัดเจนได้
ข้อเท็จจริงที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหานั้นจะไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
แต่ถ้ามีสมมติฐานแล้ว
จะทำให้ผู้วิจัยแน่ใจว่าควรรวบรวมข้อเท็จจริงอะไรมากน้อยแค่ไหนจึงจะเพียงพอที่จะทดสอบผลที่ตามมาได้ครบถ้วน
สมมติฐานจึงช่วยในการกำหนดและรวบรวมสิ่งที่ต้องการเพื่อแก้ปัญหาวิจัยนั้น
2.3
สมมติฐานเป็นตัวชี้การออกแบบการวิจัย
สมมติฐานไม่ใช่เพียงแต่ชี้แนวทางว่าควรพิจารณาข้อสนเทศใดแต่จะช่วยบอกวิธีที่จะรวบรวมข้อมูลด้วย
สมมติฐานที่สร้างอย่างดีจะเสนอแนะว่ารูปแบบการวิจัยควรจะเป็นเช่นไรจึงจะเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะที่ต้องการทราบ
สมมติฐานจะบอกแนวทางถึงกลุ่มตัวอย่างแบบสอบหรือเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้
จะมีวิธีการอย่างไร
วิธีการสถิติที่เหมาะสมคืออะไรตลอดจนจะรวบรวมข้อเท็จจริงในสถานการณ์ใดที่เหมาะสมกับปัญหา
2.4
สมมติฐานช่วยอธิบายปรากฏการณ์
การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่เป็นเพียงการรวบรวมข้อเท็จจริงและจัดพวกตามคุณสมบัติผิวเผินของข้อเท็จจริงเหล่านั้น
เช่นไม่ใช่เพียงแต่จัดตารางบอกลักษณะของพฤติกรรมก้าวร้าว
หรือเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยุวอาชญากรรมเท่านั้น
แต่นักวิจัยจะต้องกำหนดว่าองค์ประกอบใดก่อให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น
โดยอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์ที่น่าจะเป็นสาเหตุและผลอย่างเหมาะสม
สมมติฐานที่สร้างขึ้นจากข้อเท็จจริงจะช่วยให้ผู้วิจัยมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสำรวจและอธิบายสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังได้
2.5
สมมติฐานช่วยกำหนดขอบเขตของข้อยุติ ถ้าหากผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานในเชิงนิรนัยไว้
ก็เท่ากับได้วางขอบเขตในข้อยุติไว้แล้ว ผู้วิจัยอาจระบุเหตุผลว่าถ้า H1 จริงแล้วข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นจากการทดสอบกับข้อมูลจริง
ข้อเท็จจริงนั้นเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ดังนั้นข้อยุติก็จะเป็นว่า
ได้รับการยืนยันหรือไม่ได้รับการยืนยัน สมมติฐานจึงให้ขอบเขตในการตีความข้อค้นพบอย่างเฉียบขาดและมีความหมายกระชับ
ถ้าไม่มีสมมติฐานที่เป็นการทำนายล่วงหน้าข้อเท็จจริงก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รับการยืนยันหรือไม่ได้รับการยืนยันแต่อย่างใด
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 ได้กล่าวไว้ว่า การตั้งสมมติฐาน
เป็นการคาดคะเนหรือการทายคำตอบอย่างมีเหตุผล มักเขียนในลักษณะ การแสดงความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น(independent variables) และตัวแปรตาม (dependent variable) เช่น
การติดเฮโรอีนชนิดฉีด เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเอดส์
สมมติฐานทำหน้าที่เสมือนเป็นทิศทาง และแนวทาง ในการวิจัย จะช่วยเสนอแนะ
แนวทางในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป
สมมติฐานต้องตอบวัตถูประสงค์ของการวิจัยได้ครบถ้วนและทดสอบและวัดได้
กล่าวโดยสรุป สมมติฐานที่ตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป
อาจจะผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของข้อมูลประเด็นสำคัญอยู่ที่การตั้งสมมติฐาน
ต้องยึดเหตุผลทางตรรกะวิทยาให้มากที่สุด และสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ถ้าสามารถระบุทิศทางในแง่ของการเปรียบเทียบหรือแสดงความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว
จะช่วยชี้แนวทางการเลือกสถิติทดสอบแบบ ทางเดียว หรือแบบสองทางได้ด้วย
นอกจากนี้การวิจัยบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องตั้ง สมมติฐานก็ได้เช่น
การวิจัยเชิงสำรวจ หรือการวิจัยเชิงพรรณนา
เอกสารอ้างอิง
http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/hypothysis1.htm . เข้าถึงเมื่อ 9/01/13
http://www.stks.or.th/blog/?p=2385 . เข้าถึงเมื่อ 9/01/13
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 . เข้าถึงเมื่อ 9/01/13
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น